การค้าขายหรือการลงทุนทุกประเภทล้วนแล้วแต่ต้องเสียภาษีอากรให้กับแผ่นดิน แต่อาจมีคำถามว่าการลงทุนในทรัพย์สินดิจิทัลอย่างคริปโตเคอเรนซี่จะต้องเสียภาษีอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบมาฝาก
ก่อนอื่นเราควรรู้ก่อนว่า พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อ พ.ค. 2561 ช่วยยุติข้อถกเถียงเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีดิจิทัลและช่วยให้การเทรดสกุลเงินคริปโตในไทยอยู่ภายใต้กฎหมายมากยิ่งขึ้น โดยเราสามารถสรุปสาระสำคัญของ พ.ร.ก. เพื่อตอบคำถามว่าผู้ลงทุนในบิตคอยน์ (bitcoin) ต้องเสียภาษีอย่างไร ดังนี้
สินทรัพย์ดิจิทัลที่ต้องเสียภาษี มีอะไรบ้าง
พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 กำหนดว่าสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นหมายรวมถึงคริปโตเคอเรนซี่ อาทิ บิตคอยน์, ไลท์คอยน์ เป็นต้น และ โทเคนดิจิทัลต่าง ๆ ที่สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการออนไลน์ได้นั้นจะต้องถูกกำกับดูแลโดย พ.ร.ก. ดังกล่าว รวมถึงต้องเสียภาษีอีกด้วย
บิตคอยน์และสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี่ เสียภาษียังไง
แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงมาเป็นเวลานาน แต่ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่ากำไร เงินปันผล และผลประโยชน์ที่เราได้รับจากการซื้อ-ขายบิตคอยน์และสกุลเงินคริปโตนั้นจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 15 ของกำไรที่ได้
นอกจากนั้น เพื่อให้การดำเนินการด้านภาษีอาการเป็นไปอย่างโปร่งใส นักลงทุนมีหน้าที่ต้องนำรายได้จากการเทรดคริปโตเคอเรนซี่ไปยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ทั้งนี้เนื่องจากรายได้จากการเทรดจัดอยู่ในประเภทเดียวกับดอกเบี้ยและเงินปันผล ไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ จึงจำเป็นที่จะต้องนำไปยื่นชำระภาษีตามระเบียบโดยไม่มีการงดเว้น
ทั้งนี้ การชำระภาษีที่เกี่ยวกับบิตคอยน์และสกุลเงินคริปโตอาจแยกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การชำระภาษีแบบบุคคลธรรมดา สำหรับนักลงทุนซึ่งจะถูกหักภาษีในอัตราร้อยละ 15 ของกำไรที่ได้จากการเทรด แต่จะได้รับการยกเว้น VAT เมื่อนำกำไรไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ขณะที่แบบนิติบุคคลก็จะต้องถูกหักภาษีในอัตราร้อยละ 15 เช่นเดียวกับแบบบุคคลธรรมดา แต่จะไม่ได้รับการยกเว้น VAT เมื่อนำไปคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลที่สำนักงานสรรพกร
ทำไมเราต้องเสียภาษีสินทรัพย์ดิจิทัล
แม้ว่าการบังคับใช้ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 จะนำมาซึ่งหลากหลายกระแสทัศนะทั้งเชิงเห็นด้วยและเห็นแย้งกับกฎหมายดังกล่าว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวเกิดขึ้นมาเพื่อควบคุมธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งครอบคลุมการซื้อ-ขายคริปโตเคอเรนซี่ให้เป็นไปตามกฎหมาย และเปิดช่องให้รัฐบาลสามารถตรวจสอบได้ในกรณีที่พบว่ามีการใช้สกุลเงินดิจิทัลแลกเปลี่ยนสิ่งผิดกฎหมายที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคง อาทิ อาวุธ สารเสพติด หรือสารตั้งต้นต่าง ๆ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างรัฐกับเอกชนเพื่อให้ธุรกิจการเทรดสกุลเงินดิจิทัลสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศได้
ด้วยเหตุนี้ การเสียภาษีดิจิทัลของเราจึงเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนในการลงทุนที่เราทุกคนต้องจ่าย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ เพราะภาษีที่จัดเก็บดังกล่าวจะถูกใช้ไปในการพัฒนาประเทศ กระจายความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม แม้ว่าบางครั้งรัฐบาลอาจจะมีการใช้จ่ายเงินภาษีไม่ถูกใจเราบ้าง แต่การจ่ายภาษีก็เป็นหน้าที่ของประชาชนคนไทยที่ต้องพึงกระทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ถ้าไม่จ่ายภาษีบิตคอยน์หรือสกุลเงินคริปโต จะเกิดอะไรขึ้น
โดยปกติแล้ว กำไรที่เราได้รับจากการขายบิตคอยน์หรือสกุลเงินคริปโตจะต้องหักภาษีร้อยละ 15 ณ ที่จ่ายอยู่แล้ว แต่ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 ไม่ได้ระบุบทลงโทษกรณีที่เราไม่ได้นำรายได้จากบิตคอยน์ไปคำนวณภาษีรายได้บุคคลประจำปีด้วย แต่ก็กำหนดบทลงโทษทั้งทางแพ่งและอาญาสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ดังกล่าว โดยมีโทษสูงสุดคือทั้งจำทั้งปรับในกรณีที่นักลงทุนจงใจใช้บัญชีซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบุคคลอื่น เพื่อหาผลประโยชน์แบบไม่ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขายสิ่งผิดกฎหมายหรือใช้บัญชีของผู้อื่นเทรดโดยปราศจากการยินยอม กรณีนี้ย่อมมีโทษหนักกว่าการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีหลายเท่า
การลงทุนทุกประเภทย่อมมีต้นทุน หลายคนอาจจะไม่พอใจที่รัฐบาลพยายามเข้ามาเก็บภาษีในสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้บิตคอยน์หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ขาดอิสระและไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ดั้งเดิมที่มันถูกสร้างขึ้นมา แต่หากเรามองว่าภาษีเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนในการลงทุน และการกำกับดูแลของรัฐบาลก็ช่วยให้เราสามารถลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ได้อย่างยั่งยืนก็น่าจะช่วยให้เราสะดวกใจในการชำระภาษีขึ้นไม่มากก็น้อย
คอมเมนต์